10 หลักฐานทางโบราณคดี สุดยอดสิ่งค้นพบชิ้นสำคัญต่อมนุษยชาติิ
10 หลักฐานทางโบราณคดี ที่ได้มีการถูกค้นพบ และช่วยเปลี่ยนแปลงโลกได้ แน่นอนว่าหลักฐานเหล่านั้นเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญของมนุษยชาติ 10 หลักฐานทางโบราณคดี นั้นจะมีอะไรกันบ้างนั้นไปดูกันเลย
1.แผ่นหินโรเซตตา (The Rosetta Stone)
กุญแจไขประวัติศาสตร์ของอียิปต์ ผ่านอักษรภาพฮีโรกลิฟฟิก ในช่วงปี ค.ศ. 1799 ซึ่งเป็นช่วงที่อียิปต์อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศสนั่นเอง แผ่นหินโรเซตตามีอักษร 3 แบบที่ได้มีการจารึกเอาไว้ในแผ่นเดียวกันนั้นเพื่อที่จะได้ง่ายต่อการอ่าน ในการตีความอักษรฮีโรกลิฟฟิก ซึ่งสิ่งนี้นั้นเป็นปริศนามานานกว่าพันปีมาแล้วนั่นเอง เพราะด้วยว่าอักษรของชาวอียิปโบราณนั้นมีวิวัฒนาการนั้นแบ่งออกเป็น 4ระดับด้วยกันนั่นเอง ซึ่งได้อก่ ฮีโรกลิฟฟิก ฮีราติก เดโมติก และคอปติก ที่ได้มีการไล่เรียงจากการเป็นอักษรภาพไปจนถึงอักษรที่มีความเป็นพยัญชนะมากขึ้นในช่วงยุคหลังๆ มานั่นเอง จนกระทั่งได้มีนักวิชาการนั้นได้ถอดแบบอักษรจนสามารถรู้ว่านักบวชในเมืองเมมฟิสช่วยกันทำจารึกนี้ขึ้นมาเพื่อสรรเสริญฟาโรห์ปโตเลมีที่ 5 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่สามารถแผ่ขยายการปกครองไปถึง ซีเรีย ปาเลสไตน์ หรือแม้กระทั่งเอเชียไมเนอร์ (ตุรกี) แผ่นหินโรเซตตาซึ่งถือได้ว่าเป็นกุญแจไขปริศนาอักษรฮีโรกลิฟฟิกของชาวอียิปต์นั่นเอง
2.ทรอย (Troy)
ไขปริศนาเรื่องเล่าของโฮเมอร์ และประวัติศาสตร์กรีก เรื่องราวของสงครากรุทรอย ในมหากาพย์อิลเลียด ที่โฮมเมอร์ที่ได้มีกวีชาวกรีกนั้นได้แต่งเรื่อราวขึ้นมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นกวีชิ้นสำคัญของโลกที่ได้มีการสอดแทรกทั้งความสนุกสนาน วัฒนธรรมและประเพณียุคโบราณ รวมถึงความกล้าหาญของบรรดานักรบทั้งหลาย หากนักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในกรุงทรอยซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในดินแดนเอเชียไมเนอร์ ซึ่งเรื่องราวนี้นั้นได้ตรงกับประเทศกุรตีในยุคปัจจุบันนี้นั่นเอง ซึ่งเรื่องราวที่ถูกแต่งขึ้นมานั่นเป็นเพียงแค่จินตนาการของโฮมเมอร์เพียงเท่านั้น และเมื่อปี ค.ศ. 1870 นั้นก็ได้มีการขุดพบเมืองโบราณที่คาดว่าน่าจะเป็นกรุงทรอย ในแถบทะเลอีเจียน และประเทศตุรกีในปัจจุบันนั่นเอง
3.ห้องสมุดอัสซีเรีย ในเมืองโบราณนิเนเวห์ (Nineveh’s Assyrian Library)
เมืองนิเนเวห์ ที่เป็นเมืองโบราณที่ได้ตั้งอยู่ในทางลุ่มแม่น้ำไทกริส ซึ่งในปัจจุบันนี้นั้นคือ บริเวณที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองโมซูล ประเทศอิรัก ซึ่งในอดีตนั้นเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอัสซีเรีย ซึ่งก่อตั้งขึ้นราว 900-700 ปีก่อนคริสตกาล และแพร่ขยายอาณาเขตครอบคลุมไปถึงแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อาระเบีย และอาร์เมเนียนั่นเอง ซึ่งเมืองโบราณแห่งนี้นั้นได้ถูกอาณาจักรบาบิโลเนีย และชนชาติอื่นๆ แต่ว่าหลักานที่ถูกค้นพบทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่ได้เป็นการบอกถึงความรุ่งเรืองทางด้านวรรณคดีของดินแดนในแถบนี้นั้นก็คือออสเตน เฮนรี่ ลายาร์ด (Austen Henry Layard) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ลายาร์ดพบห้องสมุดหลวงของกษัตริย์อาซูร์บานีปาล (The Royal Library of Ashurbanipal) นั่นเอง ซึ่งห้องสมุดแห่งนี้นั้นได้มีการรวบรวมงานที่เป็นแผ่นจารึกต่างๆ ไว้มากกว่า 22,000 แผ่นนั้นรวบรวมเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่แผ่นจารึกในภาษาอัสซีเรียแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังได้มีการย้อนหลังไปไกลถึงจากรึกโบราณของอาณาจักรอัคคาเดีย และสุเมเรียเลยนั่นเอง
4.สุสานของยุวกษัตริย์ทุตอังคามุน (King Tut’s Tomb)
เมื่อปี ค.ศ. 1907 หลังจากที่ได้มีทีมนักสำรวจ ธีโอดอร์ เอ็ม. เดวิส (Theodore M. Davis) ซึ่งเขานั้นเป็นนักสำรวจชาวอเมริกัน ทีได้ทำการค้นพบสุสานของฟาโรห์โฮเร็มเฮบ ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของรางวงศ์ที่ 18 ในบริเวณหุบผากษัตริย์ซึ่งเขานั้นยังไม่ได้ทำการสำรวจสุสานที่มีขนาดเล็กที่ได้มีการสลักชื่อว่า ทุตอังคามุน ซึ่งหลายปีต่อมานั้นได้มีการค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้นั้นยังไม่ใช่สุสานที่แท้จริงนั่นเอง และในปี ค.ศ. 1992 นั้นโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ซึ่งได้รับการว่าจ้างจากลอร์ดคาร์นาวอน (Lord Carnavon) เศรษฐีชาวอังกฤษให้ร่วมขุดค้นสุสานในหุบผากษัตริย์ เป็นผู้ค้นพบสุสานที่แท้จริงของยุวกษัตริย์ทุตอังคามุน ใกล้กับทางเข้าสุสานของฟาโรห์รามเซสที่ 6 ซึ่งหลังจากที่ได้มีการเปิดประตูสุสานเข้าไปดูนั้นก็พบว่า สุสานนั้นยังมีความสมบูรณ์อยู่นั่นเอง
5.มาชู ปิกชู (Machu Picchu)
อีกหนึ่งสถานที่ที่เป้นที่เผยความลับของสถาปัตยกรรมของชาวเผ่าอินคา ซึ่งหลังจากที่จักรวรรดิอินคานั้นล่มสลายลงเพราะเนื่องด้วยจากการเมืองภายในโรคระบาด และการยึดครองของประเทศสเปน ในปี 1532 ซึ่งทำให้อารยธรรมโบราณที่ก่อตั้งขึ้นมานั้นเหลือไว้เพียงแค่สถาปัตยกรรมไว้เพียงเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นมีนักประวัติศาสตร์นั้นได้ค้นพบว่าเมืองวิลคา บัมบา ซึ่งชาวสเปนนั้นได้มีการบันทึกไว้ว่า เป็นเมืองที่กษัตริย์แห่งอาณาจักรอินคาที่ใช้เป็นที่หลบซ่อนเมื่อครั้งก่อนที่จะพ้ายแพ้ให้กับกองทัพสเปนนั่นเอง ซึ่งหลังจาดนั้นก็ได้มีคนไปค้นพบเมืองโบราณ มาชู ปิกชู ซึ่งเป็นเมืองที่หายสาบสูญไปจากอารยธรรมอินคา ซึ่งเมืองแห่งนี้ซุกซ่อนอยู่ในป่าดงดิบในเขตเทือกเขาแอนดีส ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง 2,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างต่างๆ ของชนเผ่าอินคาในอดีตเรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม ครอบคลุมพื้นที่ 13 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเคยเป็นอารยธรรมที่เคยรุ่งโรจน์ของดินแดนแห่งนี้มาก่อนนั่นเอง
6.ปอมเปอี (Pompeii)
ปอมเปอ เป็นเมืองชายทะเลที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณอ่าวเนปิลส์ที่อยู่ทางตอนกลางของอิตาลี ซึ่งเมืองนี้นั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อราวๆ 600 ปีก่อน ต่อมาถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของกรุงโรมเมื่อ 80 ปี ก่อนคริสตกาล ทำให้ปอมเปอีกลายเป็นศูนย์กลางการค้าอันมั่งคั่ง ชาวโรมันเริ่มย้ายถิ่นฐานเข้ามาปักหลักและทำมาค้าขายที่เมืองนี้ รวมทั้งก่อสร้างบ้านเรือนริมทะเลและบริเวณเชิงภูเขาไฟวิสุเวียส ในเมื่อปี 1534 นั้นได้มีการค้นพบซากของเมืองปอมเปอีนั้นเป็นครั้งแรก เมื่อคนงานนั้นนั้นได้ขุดคลองส่งน้ำได้ไปพบซากอาคารแบบโรมัน และเหรียญเงินโบราณ โบสถ์ โรงอาบน้ำ โรงละคร และบ้านเรือนกว่า 100 หลัง ที่ยังคงความสมบูรณ์แม้กาลเวลา จะผ่านมาเกือบ 2,000 ปี เนื่องจากขี้เถ้าจากภูเขาไฟได้รักษาสภาพของเมืองไว้ไม่ให้เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ซึ่งทำให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ว่าชาวโรมันมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างหรูหรา และมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากนั่นเอง
7.ลิขิตเดดซี (Dead Sea Scrolls)
อีกหนึ่งจารึกโบราณที่มีความเก่าแก่ที่สุด ซึ่งเป็นตัวที่เปิดเผยถึงเรื่องราวของวิถีชีวิตขาวยิวนั่นเอง ซึ่งในการค้นพบครั้งนี้นั้นได้เผยให้เห็นถึงวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวยิว ในยุคก่อนการประสูติของพระเยซู นอกจากนี้จารึกบางฉบับยังเป็นฉบับคัดลอกจากพระคัมภีร์ของศาสนายูดาย และเมื่อนักประวัติศาสตร์ถอดความออกมาก็พบว่าตรงกับพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเดิมซึ่งสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสิ่งที่เชื่อมโยงของศาสนาคริสต์ในยุคแรกเริ่มของศาสนายูดายนั่นเอง ซึ่งทั้งสองศาสนานี้นั้นมีพื้นฐานมาจากความเชื่อแบบเดียวกันนั่นเอง
8.สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี และรูปปั้นทหาร 10,000 ชิ้น
สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ฉิน ค้นพบโดยบังเอิญเมื่อชาวนาในหมู่บ้านซีหยาง เมืองหลินถง บริเวณเชิงเขาหลีซาน ห่างจากตัวเมืองซีอานไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 35 กิโลเมตร กำลังขุดดินเพื่อหาบ่อน้ำไว้ใช้สำหรับเพาะปลูกในฤดูหนาว เขาพบเหยือกดินเผา กองทหารดินเผา รวมถึงคันธนูและลูกธนูที่ทำจากทองเหลืองเมื่อขุดลึกลงไปราว 4 เมตร หลังจากนั้นทางรัฐบาลจีนได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่แล้วเริ่มขุดค้นอย่างเป็นระบบตั้งแต่ปี 1976 นั่นเอง ซึ่งในการค้นพบสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ก็เป็นการประกาศให้โลกได้รับรู้ว่าอารยธรรมของชาวจีนนั้นยิ่งใหญ่และน่ามหัศจรรย์เป้นที่สุดนั่นเอง
9.แหล่งโบราณคดีโอลดูไว ยอร์จ (Olduvai Gorge)
ได้มีการค้นพบแหล่งกำเนิดของสายพันธ์มนุษย์ที่ดูท่าว่าจะมีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก หลุยส์ และแมรี่สองสามีภรรยาที่ได้เริ่มต้นสำรวจแหล่งอารยธรรมของมนุษย์ยุคโบราณในพื้นที่ซึ่งเรียกกันว่า โอลดูไว ยอร์ช บริเวณหุบเขา และเงื้อมผาที่เป็นรอยแตกของเปลือกโลกทางแอฟริกาตะวันออก ในประเทศแทนซาเนีย ทั้งสองเริ่มสำรวจโอลดูไว ยอร์ช และบริเวณโดยรอบตั้งแต่ปี 1931จนกระทั่งปลายทศวรรษ 1960 ซึ่งพวกเขานั้นได้มการขุดพบฟอสซิล ซึ่งฟอสซิลที่สองสามีภรรยาพบนั้น ถือได้ว่าเป็นหลักฐานชิ้นแรกๆ ที่บ่งบอกว่ามนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมา และใช้ชีวิตอยู่ในแอฟริกามาหลายล้านปี รวมถึงเป็นเครื่องยืนยันว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาสู่มนุษย์ เป็นเรื่องถูกต้องนั่นเอง ซึ่งมันทำให้เรารู้ว่าจุดกำเนิดของมนุษย์สามารถนับย้อนหลังไปได้เกือบ ๔ ล้านปี และถือกำเนิดในทวีปแอฟริกา จากนั้นจึงแพร่ขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลกเลยนั่นเอง
10.เกาะภูเขาไฟเธรา (Thera)
เธราเกาะภูเขาไฟในหมู่เกาะไซคลาดิสที่เป็นที่รู้จักกันในนาม เกาะซานโตรินีที่ตั้งอยู่ในทะเลอีเจียน ซึ่งมีความกว้างประมาณ 16 กิโลเมตร และอยู่เหนือจากระดับน้ำทะเล 567 เมตร นอกจากจะมีทิวทัศน์ที่งดงาม และผืนดินอันอุดมสมบูรณ์แล้ว เกาะนี้ก็ยังมีภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600 เมตร อยู่ตรงกลางใจของเกาะอีกด้วยนั่นเอง ซึ่งสถานที่แห่งนี้นั้นได้มีชาวโฟนีเชียน ที่ได้มีการอพยพมาหลังตั้งหลักปักฐานที่เกาะแห่งนี้เมื่อราว 3,600 ปี ก่อนคริสตกาล หลังจากนั้นชาวลาโคเนียน ก็เข้ามาปกครองเกาะนี้ กระทั่งถึง 3,000 ปี ก่อนคริสตกาลนั่นเอง กษัตริย์ไมนอส ซึ่งเป็นผู้ปกครองเกาะครีตก็ได้แผ่ขยายอิทธิพลทางด้านศิลปะ และวัฒธรรมจากอารยธรรมมิโนอัน มายังเธรา แต่ว่าอารยธรรมอันเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดก็ต้องพบกับหายนะเมื่อภูเขาไฟในเกาะระเบิดขึ้นในฤดูร้อนช่วง 1,650 ปี ก่อนคริสตกาลอีกครั้งนั่นเอง ซึ่งแรงระเบิดนั้นส่งผลให้เกาะธีรานั้น แยกออกเป็น 3เกาะด้วยกัน ซึ่งมีหน้าผาที่สูงชันอีกทั้ยังล้อมรอบไปด้วยขี้เถ้า และหินภูเขาไฟอยู่ทั่วทุกอาณาเขตเลยนั่นเอง ในปี1860 มีการขุดค้นบริเวณที่ถูกเถ้าถ่าน และลาวาทับถม กระทั่งพบอาคารบ้านเรือน วิหารเทพเจ้า หลุมฝังศพในหุบเขา โรงละคร และข้าวของเครื่องใช้จำนวนมาก แสดงถึงความเจริญก้าวหน้าในยุคสำริด ทำให้เห็นถึงความเป็นอยู่ที่ได้มีการเปลี่ยนไปทั้งด้านการเมือง และสังคม ชุมชนเกษตรกรรมขยายตัวจนกลายเป็นชุมชนเมือง มีการแบ่งระดับชนชั้นตามความสามารถนั่นเอง
Write By : Discoveryman
Facebook Page : Discoveryman22